ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท. สำนักงานแพร่ (แพร่ น่าน อุตรดิตถ์) โทรศัพท์ 0 5452 1127
http://www.tourismthailand.org/phrae
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
เสี้ยวดอกขาว ดอกไม้งามแห่งภูคา การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติดอยภูคาอันมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญๆ หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นถ้ำ หรือน้ำตก การเดินป่า และการล่องแก่งน้ำว้า ปัจจุบันหลังจากที่ได้มีการค้นพบชมพูภูคา ซึ่งหลายสิบปีก่อนมีการค้นพบพืชชนิดนี้ในประเทศจีน และทางเหนือของเวียดนาม หลังจากนั้นก็ไม่มีการค้นพบพืชชนิดนี้อีกเลย จนเกือบเข้าใจว่าต้นชมพูภูคาได้สูญพันธุ์ไปแล้ว จนในปี พ.ศ. 2532 ดร.ธวัชชัย สันติสุข นักพฤกษศาสตร์ ได้ค้นพบต้นชมพูภูคาอีกครั้งที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา และกลายมาเป็นเอกลักษณ์และจุดเด่นที่น่าสนใจในการไปชมดอยภูคาในทุกวันนี้ นอกเหนือจากนั้นยังมีเสี้ยวดอกขาว ซึ่งพบมากโดยทั่วไปในภาคเหนือ ที่พิเศษไปกว่านั้นต้นเสี้ยวดอกขาวในอุทยานแห่งชาติดอยภูคามีอยู่ต้นหนึ่งเป็นต้นที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูกไว้ เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2539 วันที่เดินทางไปได้พบเสี้ยวดอกขาวนี้บานสะพรั่งอยู่เต็มต้นสวยงามมาก ต้นเสี้ยวดอกขาว เป็นไม้ยืนต้น ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-เมษายน สูงประมาณ 8-15 เมตร ต้นนี้อยู่ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคาครับ
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติต้นชมพูภูคา อุทยานแห่งชาติดอยภูคามีเส้นทางศึกษาธรรมชาติทั้งรอบใหญ่ และรอบเล็ก แต่ปัจจุบันมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติขึ้นมาอีกเส้นทางหนึ่ง เป็นรอบเล็กมากๆ สำหรับเดินเข้าไปชมต้นชมพูภูคาเท่านั้น ระยะทางประมาณ 700 เมตร เป็นเส้นทางขึ้นเขาค่อนข้างชันแต่ไม่มาก ทางอุทยานฯได้ทำขั้นบันไดเล็กๆ ให้เดินกันได้ง่ายๆ โดยเส้นทางนี้มีจุดชมวิวบนยอดเขาที่สวยงามด้วย เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาตินี้อยู่ระหว่างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวกับลานดูดาว ซึ่งเป็นลานกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาพักแรมที่นี่ ระยะทางจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปยังเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติประมาณ 4 กิโลเมตร และห่างจากลานดูดาวประมาณ 1 กิโลเมตร
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติต้นชมพูภูคา บรรยากาศทางเดินในป่าไม้ยืนต้นอันอุดมสมบูรณ์ของดอยภูคา และมีม้านั่งสร้างไว้ให้พักเป็นระยะๆ เพราะทางเดินขาขึ้นค่อนข้างชัน แต่ไม่ไกลมาก นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินเข้ามาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงมีนาคมซึ่งเป็นช่วงที่ต้นชมพูภูคาจะมีดอกบานให้ได้เห็นอย่างเต็มที่ นอกเหนือจากนั้นแล้วในช่วงเวลาดังกล่าวก็เป็นช่วงที่เสี้ยวดอกขาวบานสะพรั่งด้วยเช่นกัน
ปลายทางยอดภูคา เมื่อสิ้นสุดทางเดินขึ้นเขาที่บันไดขั้นสุดท้าย จะได้เห็นจุดชมวิวบนยอดเขา ถึงแม้ว่าวิวที่เห็นจะไม่กว้างไกลดังเช่นจุดชมวิวของยอดเขาอื่นๆ แต่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ต้นเสี้ยวดอกขาวที่บานสะพรั่งเต็มต้นรอคอยนักท่องเที่ยวที่อดทนเดินทางไกลมาจนถึงที่นี่
เสี้ยวดอกขาวสูงตระหง่านบานสะพรั่ง เสี้ยวดอกขาวต้นนี้มีขนาดใหญ่มาก น่าจะโตเต็มที่แล้ว มีดอกสีขาวบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น เนื่องจากเป็นต้นที่อยู่บนยอดเขาเสี้ยวดอกขาวต้นนี้จึงดูเด่นสง่าท่ามกลางแสงแดดและฟ้าสีครามที่สดสวยหากได้เห็นของจริงจะสวยยิ่งกว่าในภาพนี้อย่างแน่นอนครับ ทีมงานของเราที่ได้เดินขึ้นเขาและกระจายออกไปตามความเร็วในการเดินของแต่ละคน มีหลายคนที่ได้หยุดพักที่จุดนี้และได้ภาพสวยๆ มาหลายภาพ
คุณเจี๊ยบกับเสี้ยวดอกขาว ถึงแม้ว่าจุดมุ่งหมายในการเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเมตรของเราจะเป็นการมาชมดอกชมพูภูคาก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นเสี้ยวดอกขาวที่สวยงามมากในยามที่บานพร้อมกันทั้งต้นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปที่ระลึกซึ่งก็ได้ภาพสวยสมใจอยาก
เดินต่อไปสู่ชมพูภูคา หลังจากถ่ายภาพเสี้ยวดอกขาวจนจุใจกันแล้วและหายเหนื่อยจากเส้นทางขึ้นเขาชันกันมาก็เดินต่อไปยังกลุ่มต้นชมพูภูคาซึ่งอยู่ในป่าจากจุดนี้ไปอีกเพียงไม่ไกลแล้ว
ทีมงานทัวร์ออนไทยกับการชมชมพูภูคา เมื่อเดินลึกเข้ามาในป่า ทุกคนเห็นต้นชมพูภูคาประมาณ 4 ต้น ยืนเรียงกันเหมือนตั้งใจที่จะขึ้นพร้อมกันในที่นี้ ต่างคนต่างพยายามมองดอกชมพูภูคาที่อยู่สูงขึ้นไปตามขนาดของต้นซึ่งคาดว่าน่าจะสูงเกิน 10 เมตร มองเห็นช่อชมพูภูคาหลายช่อแต่ไม่ค่อยถนัดนัก ที่ต้นชมพูภูคาสูงขนาดนี้คงเป็นเพราะปัจจัยในเรื่องของแสงแดด เพราะบริเวณนี้มีไม้ยืนต้นอยู่หลายชนิดที่มีความสูงหลายเมตร ทำให้พืชที่เจริญเติบโตในบริเวณนี้ต้องพยายามปรับตัวให้สูงเพื่อแย่งแสงแดดอันเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตของต้นไม้ ในการเดินทางทริปนี้ยังบอกให้เราได้รู้ว่าควรมีกล้องส่องทางไกล และควรนำเลนส์ช่วงยาวๆ อย่างเช่น 300mm มาด้วยเพื่อที่จะได้เก็บภาพดอกชมพูภูคาได้ชัดๆ นอกจากบริเวณนี้แล้วยังพบต้นชมพูภูคาอีกหลายจุดกระจายกันในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา แต่ยังไม่มีดอกออกมาให้ได้ชมกันสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นต้นหรือดอกชมพูภูคามาก่อนต่างก็วาดหวังว่าเมื่อมีดอกออกบานสะพรั่งแล้วจะสวยงามเหมือนนางพญาเสือโคร่ง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะชมพูภูคาในหนึ่งต้นจะมีดอกไม่กี่ช่อ และด้วยจำนวนต้นที่มีอยู่น้อยมากในปัจจุบันจึงยังไม่มีบริเวณใดที่จะทำให้ได้เห็นดอกชมพูภูคาบานจนเป็นสีชมพูสวยเหมือนซากุระเมืองไทยนางพญาเสือโคร่ง
ชมพูภูคา (ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bretschneidera sinensis Hemsl. ชื่อวงศ์ : BRETSCHNEIDERACEAE)ดอกไม้ที่สวยงามสีชมพูบานในช่วงเดือนแห่งความรัก มีจำนวนน้อยมากในโลกนี้ หลังจากที่ได้มีรายงานการค้นพบดอกไม้ชนิดนี้ที่ภูคาจังหวัดน่าน ยังไม่มีรายงานการค้นพบเพิ่มเติมจากสถานที่ใดๆ ต้นไม้ชนิดนี้จึงควรค่าแก่การถนอมรักษาและเพาะพันธุ์ขึ้นมาเพิ่ม ชมพูภูคา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 15-25 เมตร จะเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณป่าดงดิบ ตามไหล่เขาสูงชันที่มีความสูงตั้งแต่ 1,200 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล และมีความชื้นของอากาศสูง มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีค่อนต่ำ สำหรับลักษณะทั่วไปของ "ต้นชมพูภูคา" จะมีเปลือกเรียบสีเทา ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวมีใบย่อยรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายใบแหลมยาว แผ่นใบด้านล่างมีนวลสีขาว ส่วนดอกเมื่อบานจะมีลักษณะคล้ายรูประฆัง กลีบดอกด้านนอกมีสีชมพูจางขาว และกลีบดอกด้านในมีสีชมพูลายเส้นสีม่วง ชูช่อเป็นพวงใหญ่ โดยปัจจุบันได้มีการทดลองเพาะกล้าไม้ชมพูภูคาเป็นผลสำเร็จแล้ว
ร้านค้าสวัสดิการและร้านอื่นๆ ในที่สุดเราก็มาถึงลานกางเต็นท์พักแรมของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ลานกางเต็นท์ที่นี่มีชื่อว่า "ลานดูดาว" ที่นี่มีห้องน้ำห้องอาบน้ำแยกหญิง-ชาย ด้านละ 3 ห้อง ทั้งห้องน้ำหญิง และชาย มีห้องหนึ่งที่มีน้ำอุ่นระบบแกส ในวันที่อากาศหนาวเย็นนักท่องเที่ยวสามารถรอคิวอาบน้ำในห้องน้ำที่มีเครื่องทำน้ำอุ่นได้ สำหรับค่าแกสก็แล้วแต่จะให้ มีกล่องให้หยอดเงินลงไป ร้านค้าร้านอาหารมีทั้งร้านสวัสดิการของอุทยานฯ และร้านของเอกชน มีกาแฟสดหลายรสให้เลือก เสมือนร้านกาแฟสดข้างนอกทั่วไป แต่เมล็ดกาแฟของที่นี่ค่อนข้างมีชื่อ รสชาดดี ครัวจะปิดเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ดังนั้นอาหารเย็นหากไม่ได้เตรียมมาเองต้องไปให้ทันเวลา หากนำอาหารมาเองทางอุทยานฯอนุญาตให้มีการปรุงอาหารบริเวณลานกางเต็นท์ได้
พื้นที่กิจกรรมรอบกองไฟ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มีพื้นที่สำหรับกิจกรรมรอบกองไฟให้นักท่องเที่ยวได้นั่งสนทนากัน โดยมีฟืนจำหน่ายให้มัดละ 50 บาท หากเดินทางมาเที่ยวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งมีการเก็บเกี่ยวข้าวโพดของชาวบ้าน สามารถหาซื้อข้าวโพดมานั่งเผาเป็นกิจกรรมยามว่างก่อนเข้านอนได้ด้วย สำหรับทริปนี้ทัวร์ออนไทยดอทคอมพาสมาชิกมาเยอะ จึงได้นั่งรอบบริเวณนี้จนไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นมานั่งด้วยเลยครับเรียกว่าเต็มพื้นที่กันเลยทีเดียว
ชมพูภูคาทรงปลูก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูกต้นชมพูภูคา และนางพญาเสือโคร่งไว้บริเวณลานกางเต็น์ลานดูดาวของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา โดยทรงปลูกต้นชมพูภูคาเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538 และทรงปลูกนางพญาเสือโคร่งใกล้ๆ ต้นชมพูภูคา เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2539 จุดที่น่าสังเกตุคือ หลังจากที่เวลาได้ผ่านไปถึง 15 ปี ต้นไม้ทั้งสองชนิดยังมีขนาดไม่สูงมากดังในภาพที่เห็น จึงเป็นไปได้ว่ากว่าต้นชมพูภูคาจะพร้อมออกดอกได้เต็มที่คงจะใช้เวลาหลายสิบปีก็เป็นได้
จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกลานดูดาว ลานกางเต็นท์ที่ชื่อว่าลานดูดาวแห่งนี้มีจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกอยู่ใกล้ๆ ทางอุทยานแห่งชาติดอยภูคาได้จัดสร้างศาลาหลังเล็กๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ยืนชมวิวพักผ่อนในเวลายามอัสดง วันนี้เป็นวันหนึ่งที่มีพระอาทิตย์ตกสวยงาม ลับหายไปจากท้องฟ้ากับฉากเทือกเขาสลับซับซ้อน แต่ก็มีเสียงบ่อนเล็กๆ สำหรับช่างภาพนับสิบชีวิตบนศาลาหลังนี้ว่าต้นไม้แห้งเล็กๆ ที่เห็นเบื้องหน้านี้ ช่างเกะกะวิวสวยๆ เสียจริง ต้นไม้แห้งต้นนี้บังเอิญอยู่ตรงหน้าศาลาพอดี จะหามุมกล้องหลบก็ทำได้ลำบาก เพราะมีช่างภาพหลายคนยืนอยู่อย่างเบียดเสียด (เพราะต่างคนต่างก็กางขาตั้งออกมา) แต่ยังไงก็ตาม วิวนี้ก็นับว่าเป็นวิวที่สวยงามของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา และตำแหน่งที่ตั้งของจุดชมวิวที่เดินจากเต็นท์ไปไม่กี่สิบเมตรย่อมเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวได้ดี
อาทิตย์ลับขอบฟ้าอำลาดอยภูคา แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่เริ่มลางเลือนและเตรียมที่จะหายไปจากสายตาหลายคู่ที่คอยจับจ้องมองผ่านช่องมองภาพหลังเลนส์ของกล้องตัวเองหลังจากภาพนี้ไปอีกเพียงไม่กี่อึดใจ ดวงอาทิตย์ก็ลับหายไป
เผาข้าวโพดกิจกรรมรอบกองไฟ สำหรับทัวร์ออนไทยวันนี้โชคดีมีรถขนข้าวโพดผ่านมาจะเอาไปขายที่เชิงเขา แต่เราขอซื้อมาบางส่วน และซื้อฟืนจากอุทยานฯ 1 มัด เอามาเป็นกิจกรรมยามว่างระหว่างการสนทนาก่อนนอน บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาน และเรื่องบังเอิญอีกเรื่องหนึ่งที่ทริปนี้ตรงกับวันมาฆบูชา ขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 หลังจากที่ได้เวียนเทียนกลางน้ำกว๊านพะเยาแห่งเดียวในโลกแล้ว เราก็ได้มาชมดอกชมพูภูคาแห่งเดียวในโลกอีกเช่นกัน หลังจากการเวียนเทียนไปแล้ว คืนนี้เป็นแรม 1 ค่ำ ซึ่งพระจันทร์ยังคงงดงามเหมือนคืนวันเพ็ญ กล้องพร้อมเลนส์เทเล 200mm จึงได้เก็บภาพดวงจันทร์พร้อมรายละเอียดของผิวดวงจันทร์อย่างไม่น่าเชื่อภาพนี้ไว้ได้ หลุมลึกและผิวขรุขระของดวงจันทร์ทำให้เราเห็นเหมือนมีกระต่ายอยู่บนนั้นนั่นเอง
อรุณรุ่งดอยภูคา อุทยานแห่งชาติดอยภูคาที่ลานดูดาว ตอนเช้ามีพระภิกษุเดินทางมาบิณฑบาตรโปรดนักท่องเที่ยวให้ได้ทำบุญกันแบบถึงที่ ชนิดที่ว่ามาเที่ยวยังได้ทำบุญแบบง่ายๆ สำหรับวันนี้ทีมงานที่เหนื่อนกับการเดินทางตลอดทริปตั้งแต่วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี วัดพระธาตุช่อแฮ บ้านประทับใจ ภูลังกา มาจนถึงดอยภูคาแห่งนี้ ทำให้ตื่นสายกันทุกคนไม่ทันได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นของดอยภูคา ซึ่งมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นห่างจากลานดูดาวไปอีก 4 กิโลเมตรแต่เราก็ยังเดินทางไปเก็บภาพบรรยากาศจุดชมวิวมาให้ชมแต่ไม่ใช่พระอาทิตย์ขึ้น เป็นช่วงสายๆ ของวันที่กำลังจะเดินทางลงไปยังสถานที่ต่อไปตามโปรแกมที่เหนือ 3 จังหวัด แพร่ พะเยา น่าน ของเรา...ชมเรื่องราวความประทับใจแบบเต็มอิ่มของทริปนี้ได้ที่ //www.touronthai.com/forum/index.php?topic=430.0
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ